เส้นเลือดขอดเป็นกรรมพันธุ์หรือไม่?

เส้นเลือดขอดเป็นกรรมพันธุ์หรือไม่?

เส้นเลือดขอดเป็นภาวะที่เกิดจากความผิดปกติของหลอดเลือดดำ ทำให้เลือดไหลเวียนได้ไม่สะดวก ซึ่งอาจเกิดจากการยืนนาน เดินนาน หรือน้ำหนักตัวเกินมาตรฐาน แต่รู้หรือไม่ว่า “พันธุกรรม” ก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดเส้นเลือดขอดได้เช่นกัน หากคนในครอบครัว เช่น พ่อ แม่ หรือพี่น้อง มีปัญหาเส้นเลือดขอด คุณเองก็อาจมีความเสี่ยงมากกว่าคนทั่วไป

บทความนี้จะพาไปทำความเข้าใจว่า พันธุกรรมเกี่ยวข้องกับเส้นเลือดขอดอย่างไร และมีวิธีใดบ้างที่จะช่วยลดโอกาสการเกิดเส้นเลือดขอดได้อย่างมีประสิทธิภาพ

เส้นเลือดขอด เกิดจากอะไร

เส้นเลือดขอด (Varicose Veins) เกิดจากการเสื่อมสภาพของลิ้นหลอดเลือดดำซึ่งมีหน้าที่เปิด-ปิด เพื่อควบคุมการไหลกลับของเลือดสู่หัวใจ แต่เมื่อมีแรงดันในหลอดเลือดเพิ่มขึ้นจากพฤติกรรมต่างๆ เช่น การยืนนาน เดินนาน หรือมีน้ำหนักตัวมาก หลอดเลือดจะขยายออกเพื่อลดแรงดัน ส่งผลให้ลิ้นหลอดเลือดเสื่อมประสิทธิภาพ เมื่อเลือดไหลย้อนกลับได้ไม่เต็มที่ จะเกิดการคั่งสะสมอยู่บริเวณขา จึงเกิดเป็นเส้นเลือดขอดตามมา

ในระยะแรกอาจเห็นเป็นเส้นเลือดฝอยสีแดงหรือม่วงคล้ายใยแมงมุม (Spider Veins) และเมื่ออาการมากขึ้นอาจเห็นเส้นเลือดปูดนูนสีเขียวคล้ำบริเวณขา

เส้นเลือดขอดสามารถลุกลามได้ถึง 6 ระยะ ซึ่งส่งผลกระทบทั้งต่อสุขภาพผิวและสุขภาพขา

6 ระยะเส้นเลือดขอด รักษาถูกวิธี ลดโอกาสลุกลาม

เส้นเลือดขอด เกิดจากกรรมพันธุ์หรือไม่

เส้นเลือดขอดสามารถถ่ายทอดทางพันธุกรรมได้ หากมีคนในครอบครัวเป็นเส้นเลือดขอด เช่น พ่อหรือแม่ ก็อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดเส้นเลือดขอดในอนาคต เนื่องจากความผิดปกติของผนังหลอดเลือดดำและลิ้นหลอดเลือดอาจถ่ายทอดผ่านพันธุกรรม ทำให้หลอดเลือดอ่อนแอและไหลเวียนเลือดได้ไม่ดีเท่าที่ควร

อย่างไรก็ตาม พฤติกรรมการใช้ชีวิต เช่น การยืนนาน น้ำหนักตัวมาก หรือการออกกำลังกายไม่สม่ำเสมอ ก็สามารถมีส่วนกระตุ้นให้อาการเกิดขึ้นหรือรุนแรงขึ้นได้เช่นกัน

กลไกการเกิดเส้นเลือดขอดที่เกี่ยวข้องกับกรรมพันธุ์

  1. ความผิดปกติของโปรตีนในผนังหลอดเลือด
    พันธุกรรมอาจส่งผลให้โครงสร้างโปรตีนที่ช่วยคงความแข็งแรงของผนังหลอดเลือดดำทำงานผิดปกติ ทำให้ผนังหลอดเลือดอ่อนแอลง และขยายตัวได้ง่ายเมื่อเกิดแรงดันเลือด
  2. การทำงานที่ผิดปกติของลิ้นหลอดเลือด (Valve Dysfunction)
    หากได้รับอิทธิพลจากพันธุกรรม อาจทำให้ลิ้นหลอดเลือด (Valve) ทำงานไม่สมบูรณ์ หรือปิดได้ไม่สนิท เลือดจึงไหลย้อนและคั่งสะสมในหลอดเลือดบริเวณขา นำไปสู่การเกิดเส้นเลือดขอดได้

อย่างไรก็ตาม แม้จะมีประวัติครอบครัวก็ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นเส้นเลือดขอดเสมอไป และในทางกลับกัน คนที่ไม่มีประวัติครอบครัวก็อาจเป็นได้เช่นกัน

ปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ ที่ส่งผลต่อการเกิดเส้นเลือดขอดร่วมด้วย

  1. อายุที่เพิ่มขึ้น
    เมื่ออายุมากขึ้น หลอดเลือดจะเริ่มหย่อนคล้อย และผนังหลอดเลือดดำอาจสูญเสียความแข็งแรง ส่งผลให้ลิ้นหลอดเลือดทำงานไม่เต็มประสิทธิภาพ
  2. ฮอร์โมนเพศ
    พบว่าเพศหญิงมีโอกาสเกิดเส้นเลือดขอดได้มากกว่าเพศชาย โดยฮอร์โมนบางชนิดอาจทำให้ผนังหลอดเลือดคลายตัว
  3. ภาวะน้ำหนักเกินและโรคอ้วน
    น้ำหนักตัวที่มากเกินไปทำให้หลอดเลือดต้องรับแรงดันสูงขึ้น ซึ่งส่งผลให้ลิ้นหลอดเลือดทำงานหนักและอาจเสื่อมประสิทธิภาพ
  4. การตั้งครรภ์
    ปริมาณเลือดในร่างกายที่เพิ่มสูงขึ้น การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน และการเพิ่มภาระที่หลอดเลือด อาจส่งผลให้ลิ้นหลอดเลือดทำงานบกพร่องได้
  5. พฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม
    เช่น สวมใส่เสื้อผ้ารัดแน่น ยืนนาน นั่งนาน หรือนั่งไขว่ห้าง เมื่อไม่เปลี่ยนหรือขยับร่างกาย จะทำให้เลือดไหลเวียนไม่สะดวก
  6. อาชีพ
    อาชีพที่ต้องยืน นั่ง หรือเดินเป็นระยะเวลานานๆ เช่น แม่ค้า พ่อค้า พนักงานขาย ครู พยาบาล หรือพนักงานโรงงาน ล้วนทำให้เกิดแรงดันที่ขาต่อเนื่อง ส่งผลให้ลิ้นหลอดเลือดทำงานหนัก จนเกิดการเสื่อมประสิทธิภาพ
  7. ใส่รองเท้าส้นสูงเป็นประจำ
    การใส่รองเท้าส้นสูงจะมีการทิ้งน้ำหนักตัวลงที่ขาค่อนข้างมาก ทำให้เกิดแรงดันที่ขาสูง
  8. การสูบบุหรี่
    แม้จะไม่ใช่สาเหตุโดยตรง แต่สารเคมีในบุหรี่สามารถทำลายผนังหลอดเลือดและลดประสิทธิภาพการไหลเวียนของเลือดได้ และยังเพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะลิ่มเลือดอุดตันในหลอดเลือดดำลึก (DVT) ซึ่งอาจเป็นอันตรายได้

วิธีรับมือกับเส้นเลือดขอดทางพันธุกรรม

สำหรับผู้ที่มีประวัติคนในครอบครัวเป็นเส้นเลือดขอด แม้พันธุกรรมจะเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ไม่สามารถควบคุมได้ แต่สามารถลดโอกาสเกิดอาการหรือชะลอความรุนแรงได้ ด้วยการปรับพฤติกรรมและดูแลสุขภาพอย่างเหมาะสม ดังนี้

  1. ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
    เช่น เดิน วิ่ง ว่ายน้ำ หรือเล่นโยคะ เพื่อกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด และช่วยควบคุมน้ำหนัก
  2. เคลื่อนไหวร่างกายบ่อยๆ
    หากต้องนั่งหรือยืนนาน ควรลุกขึ้นเดินหรือยืดเส้นยืดสายทุก 30–60 นาที
  3. ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
    ช่วยลดแรงดันต่อหลอดเลือดและลดภาระการทำงานของลิ้นหลอดเลือด
  4. เลือกรับประทานอาหารที่ดีต่อหลอดเลือด
    รับประทานผักและผลไม้ที่อุดมด้วยวิตามินซี เช่น ส้ม ฝรั่ง หรือเบอร์รี่ ซึ่งช่วยเสริมความแข็งแรงให้ผนังหลอดเลือด
  5. ดื่มน้ำให้เพียงพอ
    ควรดื่มน้ำวันละประมาณ 8–10 แก้ว เพื่อช่วยให้เลือดไหลเวียนได้ดี
  6. หลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยง
    เช่น การยืนนาน นั่งไขว่ห้าง หรือใส่รองเท้าส้นสูงเป็นเวลานาน

หากพบเส้นเลือดขอด สามารถชะลออาการได้หรือไม่

แม้ว่าเส้นเลือดขอดจะลุกลามได้ แต่เราสามารถดูแลตัวเองอย่างถูกวิธีเพื่อชะลออาการไม่ให้ลุกลามหนักกว่าเดิมได้ โดยปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ ดังนี้

  1. สวมถุงน่องทางการแพทย์ ที่มีแรงดันตามความเหมาะสม ช่วยให้เลือดไหลเวียนได้ตามปกติ
  2. หลีกเลี่ยงการยืนหรือนั่งนานเกินไป หากมีอาชีพที่ต้องยืน หรือเดินนาน ควรปรับเปลี่ยนท่าทางระหว่างวัน
  3. ออกกำลังกายสม่ำเสมอ เช่น เดิน ว่ายน้ำ หรือปั่นจักรยาน
  4. ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
  5. เลือกเสื้อผ้าที่สวมใส่สบาย ไม่ใส่เสื้อผ้าที่รัดแน่นเกินไป
  6. งดใส่รองเท้าส้นสูงนานเกินไป
  7. ยกขาสูงกว่าระดับหัวใจวันละ 10–15 นาที
7 วิธีชะลอเส้นเลือดขอด ไม่ให้ลุกลาม

วิธีรักษาเส้นเลือดขอด ที่ทางการแพทย์แนะนำ

การรักษาเส้นเลือดขอดมีหลากหลายวิธี ขึ้นอยู่กับระยะของอาการ (C1-C6) แพทย์จะเลือกวิธีที่เหมาะสมตามความรุนแรงของเส้นเลือดขอด

1. รักษาด้วยเลเซอร์

เป็นการใช้พลังงานความร้อนจากลำแสงเลเซอร์ปิดและทำให้หลอดเลือดที่ผิดปกติหดตัวลง

  • เส้นเลือดขอดฝอยที่มีขนาดเล็กกว่า 3 มิลลิเมตร จะยิงเลเซอร์ผ่านผิวหนังโดยตรง
  • ส่วนในกรณีเส้นเลือดใหญ่ แพทย์จะสอดสายเลเซอร์เข้าไปในหลอดเลือด เป็นวิธีการรักษาที่ไม่ต้องผ่าตัดใหญ่ เจ็บน้อย และฟื้นตัวเร็ว

2. รักษาด้วยคลื่นวิทยุ (RFA)

ใช้หลักการเดียวกับเลเซอร์ โดยสอดสายสวน (catheter) ที่มีขั้วปล่อยคลื่นวิทยุผ่านรูเข็มขนาดเล็ก เพื่อทำลายผนังเส้นเลือดขอดด้วยความร้อน เหมาะกับเส้นเลือดขอดขนาดใหญ่ หรือผิวเปลี่ยนเป็นสีคล้ำ (ระยะ C4)

3. รักษาด้วยการผ่าตัด

แบ่งเป็น 2 วิธีหลัก ได้แก่ การลอกเส้นเลือดขอด และการเจาะรูเล็กเพื่อเกี่ยวเส้นเลือดขอดออก เหมาะกับผู้ที่มีอาการรุนแรง หรือมีภาวะแทรกซ้อน (ระยะ C4-C6) และต้องใช้เวลาพักฟื้นนาน

4. ฉีดสลายเส้นเลือดขอด (Sclerotherapy)

เป็นการฉีดตัวยาเข้าไปในหลอดเลือดดำโดยตรง เพื่อทำลายผนังหลอดเลือดให้เกิดการฝ่อตัวลง เหมาะสำหรับผู้ที่มีเส้นเลือดฝอยหรือเส้นเลือดขอดขนาดเล็กถึงปานกลาง (ระยะที่ C1–C3) ขั้นตอนนี้เจ็บตัวน้อย ไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องพักฟื้น ทำเสร็จสามารถกลับบ้านได้ตามปกติ ใช้เวลาในการรักษาประมาณ 15–30 นาทีต่อครั้ง

ฉีดสลายเส้นเลือดขอด โดยไม่ต้องผ่าตัด ที่ เดอ ควีนส์

บินจากเดนมาร์กเพื่อมารักษาเส้นเลือดขอดกับคุณหมอโบว์

การฉีดสลายเส้นเลือดขอด (Sclerotherapy) เป็นหนึ่งในวิธีรักษาเส้นเลือดขอดที่ได้รับความนิยม เนื่องจากมีขั้นตอนที่ไม่ซับซ้อน เจ็บตัวน้อย ไม่ต้องผ่าตัด และไม่ต้องนอนพักฟื้น

ที่ เดอ ควีนส์ คลินิก ยินดีคืนความมั่นใจให้เรียวขากลับมาเรียบเนียนอีกครั้ง ด้วยการฉีดสลายโฟมนำเข้าจากเยอรมัน ดูแลโดยคุณหมอโบว์ แพทย์มากประสบการณ์ รักษาเส้นเลือดขอดมาแล้วกว่า 10 ปี ประเมินคนไข้ และออกแบบการรักษาเป็นรายบุคคล ได้รับความไว้วางใจจากคนไข้ทั้งในไทยและต่างประเทศ เช่น ออสเตรเลีย สวีเดน เดนมาร์ก และญี่ปุ่น มีการติดตามผลหลังการรักษาอย่างต่อเนื่อง พร้อมแนะนำวิธีปฏิบัติตัวอย่างเหมาะสม เพื่อป้องกันไม่ให้เป็นเส้นเลือดขอดซ้ำ

สำหรับใครที่พบปัญหาเส้นเลือดขอด สามารถปรึกษา และส่งภาพให้แพทย์ประเมินเบื้องต้นได้ที่ Line: @dequeensclinic หรือ Walk in เข้ารับการรักษาคลินิกใกล้บ้าน ทั้ง 2 สาขา ได้แก่ สาขาชลบุรี และสาขาเพชรบุรี...เดอควีนส์ ใส่ใจทุกปัญหาของคนไข้ พร้อมดูแลเส้นเลือดขอดให้คุณอย่างมืออาชีพ