Sculptra vs โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ แตกต่างกันอย่างไร?

เมื่อพูดถึงการยกกระชับและการดูแลผิวให้อ่อนเยาว์ หลายคนอาจสงสัยว่า Sculptra และ โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ แตกต่างกันอย่างไร ทั้งที่เป็นหัตถการประเภทฉีดเหมือนกัน แต่ความจริงแล้ว ทั้งสองโปรแกรมมีคุณสมบัติ วัตถุประสงค์ และกระบวนการทำงานที่ไม่เหมือนกัน ตั้งแต่ส่วนผสม ผลลัพธ์ที่ต้องการ ไปจนถึงระยะเวลาการคงอยู่ของผลลัพธ์ ที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน

บทความนี้จะพาคุณมาทำความเข้าใจความต่างของ Sculptra vs โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ แบบง่ายๆ เห็นภาพชัด เพื่อช่วยให้เลือกวิธีดูแลผิวหน้าได้ตรงกับความต้องการและปัญหาที่คุณมีมากที่สุด

สารประเภท Poly-L-Lactic Acid (PLLA) หรือที่หลายคนรู้จักกันในชื่อ “ไหมน้ำ” จัดอยู่ในกลุ่มสาร Collagen Biostimulator ที่ช่วยกระตุ้นให้ผิวสร้างคอลลาเจนขึ้นใหม่ตามธรรมชาติ เป็นตัวแรกของโลกที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางในวงการแพทย์ผิวหนัง

เมื่ออายุมากขึ้น ร่างกายจะสูญเสียคอลลาเจนทีละน้อย ทำให้ผิวดูบาง แห้ง หย่อนคล้อย และไม่กระชับเหมือนเดิม Sculptra จึงเข้ามาช่วยฟื้นฟูคอลลาเจนที่หายไป เสริมการสร้างคอลลาเจนใหม่ในชั้นผิวอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ผิวค่อยๆ เต่งตึง ใบหน้าแน่นกระชับ แลดูอ่อนเยาว์ขึ้น นอกจากนี้ Sculptra ยังช่วยให้โครงสร้างผิวแข็งแรงขึ้นจากภายใน ช่วยปรับสภาพผิวที่เสื่อมโทรมให้กลับมาแน่น ยืดหยุ่น และดูสุขภาพดี

Sculptra ผลิตโดยบริษัท Galderma และผ่านการรับรองความปลอดภัยจาก US FDA สามารถฉีดในชั้นผิวได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมให้ผลลัพธ์ที่ตอบโจทย์ เหมาะกับผู้ที่ต้องการฟื้นฟูผิวหน้าโดยรวมเป็นอย่างดี

ส่วนประกอบหลักของ Sculptra คือ Poly-L-Lactic Acid (PLLA) ซึ่งเป็นสารกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน (Collagen Biostimulator) ที่ช่วยให้ร่างกายสร้างคอลลาเจนใหม่ขึ้นมา เพื่อฟื้นฟูความแน่น ความยืดหยุ่น และความกระชับของผิวจากภายใน

• กลไกการทำงาน: เมื่อฉีด Sculptra เข้าสู่ชั้นผิว สาร PLLA จะกระตุ้นเซลล์ไฟโบรบลาสต์ (Fibroblast) ให้ผลิตคอลลาเจนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
• ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น: ผิวจะค่อยๆ ยกกระชับ เรียบเนียน และดูอิ่มฟูขึ้นภายในช่วงประมาณ 2–6 เดือนหลังการฉีด และสามารถคงผลลัพธ์ได้นานสูงสุดถึง 2 ปี โดยสาร PLLA จะสลายไปเองหลังทำหน้าที่เสร็จสมบูรณ์

1.  ฟื้นฟูผิวล้ำลึกในระยะยาว
   Sculptra จะกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนชนิดที่ 1 และชนิดที่ 3 ซึ่งเป็นคอลลาเจนสำคัญต่อความยืดหยุ่น ความแน่นกระชับ และการฟื้นฟูผิวที่เสื่อมสภาพ เมื่อร่างกายสร้างคอลลาเจนใหม่ขึ้น ผิวจึงค่อยๆ แข็งแรงและสดใสขึ้นตามเวลา
2. เพิ่มความแข็งแรงให้โครงสร้างผิว
   เมื่อเกิดการสร้างคอลลาเจนเพิ่มขึ้น จะช่วยเพิ่มจำนวนไฟโบรบลาสต์ ซึ่งทำหน้าที่สร้างเส้นใยคอลลาเจน ส่งผลให้ผิวมีความแน่น กระชับ และยืดหยุ่นมากขึ้นจากภายใน
3. ประสิทธิภาพสูงในการสร้างคอลลาเจน
   งานวิจัยพบว่า Sculptra สามารถกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนเพิ่มขึ้นได้มากถึง 66.5% หลังการฉีดเพียง 3 เดือน ทำให้ผิวค่อยๆ กระชับ และสุขภาพดีขึ้นตามกระบวนการธรรมชาติของร่างกาย
4. โดดเด่นด้านการสร้างคอลลาเจน
   Sculptra จัดเป็นนวัตกรรมกระตุ้นคอลลาเจนที่มีประสิทธิภาพสูงในการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน
5. ย่อยสลายเองตามกาลเวลา
   โดยสาร PLLA จะค่อยๆ ย่อยสลายไปตามเวลา ไม่มีสารตกค้าง แต่จะเหลือเพียงคอลลาเจนใหม่ที่ร่างกายสร้างขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง
6. ไม่ต้องมาฉีดซ้ำบ่อยๆ
   หลังฉีด Sculptra ประมาณ 3 เดือน คอลลาเจนจะถูกกระตุ้นได้ดีที่สุด ทำให้ผิวกระชับ อ่อนเยาว์ อยู่ได้นานถึง 2 ปี

• กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ทั้งชนิดที่ 1 และ 3 ช่วยให้ผิวแข็งแรงและยืดหยุ่นมากขึ้น
• ยกกระชับใบหน้า ดูแลปัญหาผิวหย่อนคล้อย คืนกรอบหน้าให้ชัดเจนโดยไม่ต้องผ่าตัด
• ลดเลือนริ้วรอย ทั้งร่องลึก ร่องตื้นค่อยๆ จางลง จากกระบวนการสร้างคอลลาเจนใหม่อย่างต่อเนื่อง
• เพิ่มความยืดหยุ่นและความชุ่มชื้นของผิว ผิวดูกระชับ ยืดหยุ่น ชุ่มชื้น และลดโอกาสเกิดริ้วรอยใหม่
• ฟื้นฟูผิวล้ำลึก ด้วยการทำงานของ PLLA จากภายใน สร้างความแข็งแรงแบบระยะยาว
• ผิวกระจ่างใสขึ้น เรียบเนียนกว่าเดิม รูขุมขนกระชับ ผิวดูละเอียดและสุขภาพดี
• ผลลัพธ์ดูละมุนกลมกลืนกับผิว ผิวค่อยๆ อิ่มฟู กระชับ อ่อนเยาว์ เจ็บตัวน้อย และไม่ต้องพักฟื้น

Sculptra สามารถฉีดได้ในหลายตำแหน่งเพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและฟื้นฟูโครงสร้างผิว โดยบริเวณที่นิยม ได้แก่

• ขมับ เติมเต็มขมับที่ตอบให้ดูเต็มขึ้น พร้อมช่วยยกบริเวณหางตาและหางคิ้วให้กระชับขึ้น
• หน้าแก้ม ดูแลปัญหาหน้าแก้มตอบ ลดเลือนร่องแก้มและร่องน้ำหมาก ช่วยให้ผิวช่วงแก้มดูเต่งตึงและอ่อนเยาว์
• กรอบหน้า ยกกระชับผิวบริเวณกรอบหน้า ช่วยให้รูปหน้าดูชัดขึ้นและได้สัดส่วนยิ่งขึ้น

หลังฉีด Sculptra ประมาณ 5 วัน คอลลาเจนจะเริ่มถูกกระตุ้นใต้ชั้นผิว และภายใน 2–4 สัปดาห์ จะเริ่มสังเกตการเปลี่ยนแปลง เช่น ริ้วรอยลดลง ผิวกระชับขึ้น ผลลัพธ์เต็มที่จะเห็นได้ชัดใน 3 เดือน โดยทั่วไปแนะนำให้ฉีดต่อเนื่อง 3 ครั้ง เว้นระยะห่างครั้งละ 1 เดือน เพื่อปรับสภาพผิวและให้ผิวสร้างคอลลาเจนได้เต็มที่ หลังจากนั้นสามารถคงผลลัพธ์ของความกระชับและอ่อนเยาว์ได้นานถึง 2 ปี หรือประมาณ 25 เดือน

สารเติมเต็มไฮยาลูรอนิกแอซิด (Hyaluronic acid) ถูกผลิตขึ้นมาเพื่อเลียนแบบสารที่มีอยู่ในร่างกายของมนุษย์เรา มักนำมาใช้เพื่อทดแทนสารไฮยาลูรอนิกที่ร่างกายได้สูญเสียไปจากการผลิตที่น้อยลงเรื่อยๆ เนื่องจากอายุที่เพิ่มขึ้น ซึ่งทำให้ร่างกายผลิตเส้นใยคอลลาเจนได้ลดลง ส่งผลให้ผิวบางลง และก่อให้เกิดริ้วรอยต่างๆ

เมื่อฉีดสารเติมเต็มเข้าไปยังบริเวณที่มีปัญหาผิว เช่น ใต้ตา ร่องแก้ม ร่องลึกบนขมับ และริ้วรอยต่างๆ จะทำให้ตื้นขึ้น ผิวมีความเต่งตึง เรียบเนียน

นอกจากนี้ ฟิลเลอร์ยังเป็นสารที่มีความคงตัวสูง สามารถช่วยกักเก็บความชุ่มชื้นในชั้นผิวได้ดี ทำให้ผิวดูอิ่มน้ำมากขึ้น จึงนิยมนำมาใช้ในการปรับรูปหน้าและแก้ไขข้อบกพร่องเฉพาะจุด เช่น ฟิลเลอร์ปาก ฟิลเลอร์ขมับ ฟิลเลอร์คาง ฟิลเลอร์จมูก หรือฟิลเลอร์น้องสาว ซึ่งเราสามารถปรับแต่งสัดส่วนเหล่านี้ให้ฟูสวย อิ่มเอิบขึ้นตามที่เราต้องการได้โดยไม่ต้องผ่าตัด

ไฮยาลูรอน (Hyaluronic Acid หรือ HA) เป็นสารที่มีอยู่ในร่างกาย มีคุณสมบัติในการอุ้มน้ำและเติมเต็มริ้วรอยร่องลึก ทำให้ผิวชุ่มชื้น ยืดหยุ่น อิ่มฟู และเต่งตึงขึ้น ด้วยความที่ร่างกายสามารถย่อยสลายได้เอง สารเติมเต็มฟิลเลอร์ชนิดนี้จึงมีความปลอดภัยสูง และได้รับการรับรองจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ของไทย

สารเติมเต็มฟิลเลอร์สามารถคงอยู่ได้ประมาณ 6–24 เดือน ขึ้นอยู่กับยี่ห้อและรุ่น หลังจากฟิลเลอร์สลายตัวแล้ว สามารถเติมได้ต่อเนื่องโดยไม่ต้องกังวลเรื่องสารตกค้างในร่างกาย ทั้งนี้หากไม่พอใจในผลลัพธ์สามารถฉีดสลายและทำการฉีดใหม่ได้ โดยอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์

1. เติมเต็มและยกกระชับ
   สารเติมเต็มฟิลเลอร์จะถูกฉีดเข้าไปในบริเวณที่ต้องการ เช่น ร่องแก้ม ใต้ตา ขมับ หรือคาง เพื่อเพิ่มปริมาตรและดูแลปัญหาผิวที่ยุบตัวลง ให้ใบหน้าดูเต็มและกระชับขึ้น
2. ดึงน้ำและเพิ่มความชุ่มชื้น
   สารไฮยาลูรอนิกแอซิด (HA) ที่เป็นส่วนประกอบหลักของฟิลเลอร์ สามารถดูดซับน้ำจากเซลล์ผิวรอบๆ ทำให้ผิวบริเวณนั้นอิ่มฟู ชุ่มชื้น และดูสุขภาพดี
3. กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน
   สารเติมเต็มฟิลเลอร์บางชนิดยังช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน ทำให้ผิวแน่นกระชับ อ่อนเยาว์ขึ้น และช่วยชะลอริ้วรอยในระยะยาว
4. ปรับโครงสร้างใบหน้า
   แพทย์สามารถใช้สารเติมเต็มฟิลเลอร์ปรับรูปหน้าให้สมดุล เช่น เพิ่มวอลลุ่มแก้ม ปรับคางให้เรียวสมส่วน หรือปรับจมูก ให้ใบหน้าได้สัดส่วนมากขึ้น
5. สังเกตเห็นผลลัพธ์ชัดเจน
   ผลลัพธ์จากการทำโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์สามารถสังเกตได้ตั้งแต่วันแรก หลังทำใบหน้าจะดูเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น โดยไม่ต้องผ่าตัดหรือพักฟื้น

• ลดริ้วรอยและร่องลึก เช่น ร่องแก้ม ร่องน้ำหมาก ใต้ตา หรือริ้วรอยบนหน้าผาก
• ปรับรูปหน้าให้สมส่วน เติมเต็มบริเวณที่มีปัญหา เช่น ขมับตอบ คางสั้น หน้าผากบุ๋ม หรือริมฝีปากแบน ทำให้ใบหน้าดูได้สัดส่วนและมีมิติขึ้น
• เพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว มีคุณสมบัติอุ้มน้ำ ทำให้ผิวดูอิ่มน้ำ เปล่งปลั่ง และดูอ่อนเยาว์ขึ้น
• แก้ปัญหาเฉพาะจุด เช่น ลดรอยคล้ำใต้ตา ตาโหล กระชับรูขุมขน ช่วยให้ผิวเรียบเนียนและกระจ่างใส
• เริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงได้หลังทำ ไม่มีรอยแผล ไม่ต้องพักฟื้น สามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ
• ปรับแก้ไขได้ตามต้องการ หากไม่พอใจผลลัพธ์ สามารถฉีดสลายฟิลเลอร์ออกได้โดยไม่เป็นอันตราย และต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์
• มีความปลอดภัย เพราะได้รับการรับรองจาก อย. และสามารถสลายเองได้โดยไม่ตกค้างในร่างกาย

• ขมับ เติมเต็มขมับตอบ ช่วยให้ใบหน้าดูอิ่มเอิบ ได้สัดส่วน และดูอ่อนเยาว์ขึ้น
• หน้าผาก แก้หน้าผากแบนหรือรอยบุ๋ม ลดริ้วรอยเหี่ยวย่น ทำให้หน้าผากเรียบเนียนและได้รูปสมส่วน
• ใต้ตา ลดริ้วรอย ตาคล้ำ ร่องลึก และถุงใต้ตา ช่วยให้ดวงตาดูสดใสขึ้น
• ร่องแก้ม เติมร่องแก้มและร่องน้ำหมาก ให้ร่องลึกดูตื้นลง ใบหน้าดูเด็กลง
• แก้ม เติมเต็มแก้มตอบ ทำให้ใบหน้าดูอิ่มเอิบและอ่อนเยาว์
• ริมฝีปาก เติมริมฝีปากให้อวบอิ่ม ยกมุมปากสวย และปรับรูปทรงริมฝีปาก
• คาง เสริมคาง แก้ปัญหาคางสั้นหรือคางตัด ปรับใบหน้าให้เรียวและดู V-Shape
• คอ ช่วยลดรอยย่น ทำให้คอดูเรียบเนียน เต่งตึงขึ้น

หลังฉีดสารเติมเต็มฟิลเลอร์ จะสังเกตเห็นถึงการเปลี่ยนแปลงได้ในครั้งแรก โดยในช่วงแรกอาจมีอาการบวมเล็กน้อย ซึ่งจะลดลงไปเอง และใน 2–3 สัปดาห์ จะสามารถเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจน เพราะเป็นการให้เวลาฟิลเลอร์ได้ผสานรวมกับชั้นผิวให้เรียบเนียน

ผลลัพธ์สามารถอยู่ได้นานประมาณ 6–24 เดือน ขึ้นอยู่กับตำแหน่งที่ฉีดและยี่ห้อฟิลเลอร์ รวมถึงการดูแลตัวเองหลังทำ เช่น การหลีกเลี่ยงความร้อนจัด หรือสภาพแวดล้อมอุณหภูมิสูง การดื่มน้ำเพียงพอ เพราะฟิลเลอร์มีคุณสมบัติอุ้มน้ำได้ดี จะยิ่งช่วยให้ผิวอิ่มฟู อ่อนเยาว์ และสุขภาพดีขึ้น

แม้ว่าทั้ง Sculptra และฟิลเลอร์จะเป็นโปรแกรมฉีดเหมือนกัน แต่จุดเด่น วัตถุประสงค์ และการนำไปใช้งานต่างกัน จึงเหมาะสำหรับการแก้ปัญหาผิวคนละแบบ

• Sculptra อยู่ในกลุ่ม Collagen Biostimulator ทำหน้าที่กระตุ้นให้ผิวสร้างคอลลาเจนใหม่อย่างต่อเนื่อง ช่วยเสริมโครงสร้างผิวให้แข็งแรงขึ้น เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาริ้วรอย ผิวดูอ่อนล้า หรือใบหน้าดูแก่กว่าวัย และต้องการฟื้นฟูคุณภาพผิวในระยะยาว สาร PLLA ยังสามารถสลายได้เองตามธรรมชาติ และผลลัพธ์โดยรวมมักอยู่ได้นานถึงประมาณ 2 ปี
• โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ เหมาะกับผู้ที่ต้องการปรับแก้จุดบกพร่องเฉพาะบริเวณ เช่น ขมับยุบ ถุงใต้ตา ร่องแก้ม ร่องน้ำหมาก รวมถึงการปรับรูปหน้าให้สมส่วนขึ้น เพราะเป็นสารเติมเต็มที่ช่วยเพิ่มวอลุ่มให้ผิวได้ทันทีหลังทำ หากต้องการปรับแก้เพิ่มเติมหรือลดปริมาณ สามารถฉีดสลายแล้วเติมใหม่ได้ตามความต้องการ นอกจากนี้ Hyaluronic Acid (HA) ที่ใช้ในฟิลเลอร์ยังสามารถสลายเองได้ตามธรรมชาติ โดยระยะการคงอยู่ประมาณ 6–24 เดือนขึ้นอยู่กับบริเวณที่ฉีดและชนิดของฟิลเลอร์

• ต้องการฟื้นฟูผิวจากภายในแบบค่อยเป็นค่อยไป
• เน้นการสร้างคอลลาเจนระยะยาวให้ผิวแน่นขึ้น แข็งแรงขึ้น
• ไม่ได้ต้องการการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็ว แต่ต้องการผลที่อยู่ได้นานและช่วยเสริมโครงสร้างผิว

• ต้องการปรับรูปหน้า เติมเต็มริ้วรอย หรือแก้จุดบกพร่องของผิวในระยะสั้น
• เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการให้ผิวหรือรูปหน้าเปลี่ยนแปลงได้ในระยะสั้น
• ใช้แก้ปัญหาเฉพาะจุด เช่น ใต้ตาลึก ร่องแก้ม ขมับ หรือคางได้อย่างแม่นยำ

กราฟิก Sculptra VS โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์แตกต่างกันอย่างไร

ใบหน้าแต่ละคนมีปัญหาผิวที่แตกต่างกันออกไป หากคุณกำลังรู้สึกไม่มั่นใจ ไม่ว่าจะเป็นผิวหย่อนคล้อย ผิวไม่กระชับ ริ้วรอย ร่องแก้มลึก หรือรูปหน้าที่ไม่สมดุล สามารถเข้ามาปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินสภาพผิวอย่างละเอียดในแต่ละจุด และเลือกโปรแกรมที่เหมาะกับปัญหาผิวได้

ไม่ว่าจะต้องการเติมเต็มใบหน้าให้อิ่มเอิบ สมส่วน ปรับรูปหน้าให้เรียว V-Shape มี Jawline ชัดขึ้น หรือเน้นงานผิวให้ดูฉ่ำใส ลดริ้วรอย ผิวดูอ่อนเยาว์และสุขภาพดี สามารถทำได้โดยไม่ต้องผ่าตัด และไม่ต้องพักฟื้น

หากยังไม่แน่ใจว่าควรเริ่มดูแลใบหน้าจากจุดไหนดี สามารถสอบถามได้ฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย หรือส่งภาพให้แพทย์ประเมินเบื้องต้นได้ที่ Line: @dequeensclinic หมอตอบเองทุกเคส หรือสามารถ Walk-in ได้ทั้ง 2 สาขา ได้แก่ เดอควีนส์ คลินิก สาขาชลบุรี และเดอควีนส์ คลินิก สาขาเพชรบุรี