
ในยุคที่ผิวสวยไม่ได้วัดกันที่ความขาว แต่เป็นความใส สุขภาพดีแบบมีออร่าจากภายใน “Glass Skin” หรือ “ผิวกระจก” จึงกลายเป็นลุคผิวในฝันของใครหลายคน ด้วยความเนียนละเอียด ฉ่ำน้ำ และดูเปล่งปลั่งอย่างเป็นธรรมชาติ วันนี้หมอจะพาทุกคนมาทำความรู้จักกับเทรนด์ผิวใสที่กำลังมาแรงในปี 2025 พร้อมแนะนำหัตถการทางการแพทย์ที่ช่วยฟื้นฟูผิวให้กลับมาชุ่มชื้น กระจ่างใส จนใครเห็นก็อยากทักว่า...ผิวดีมาก
Glass Skin คืออะไร อยากมีผิวฉ่ำใสเหมือนกระจกต้องดูแลยังไงบ้าง
Glass Skin หรือ “ผิวกระจก” คือภาพลักษณ์ของผิวที่เนียนละเอียด อิ่มน้ำ ดูชุ่มชื้นจากภายใน เผยความกระจ่างใสแบบธรรมชาติ ซึ่งเป็นเทรนด์ความงามที่ยังคงได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในปี 2025 ที่ลุคผิวสุขภาพดีกำลังมาแรง ในบทความนี้ หมอจะมาอธิบายว่า Glass Skin จริงๆ แล้วคืออะไร พร้อมแนะนำวิธีดูแลตัวเองทั้งในชีวิตประจำวันและหัตถการทางการแพทย์ที่สามารถช่วยฟื้นฟูและสร้างผิวใสแบบผิวกระจกได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เทรนด์ผิวใสมาแรง “Glass Skin” ยังฮิตต่อเนื่องถึงปี 2025
ผิวฉ่ำวาวใสสุขภาพดีแบบ “Glass Skin” ยังคงเป็นลุคผิวในฝันของหลายคนต่อเนื่องในปี 2025 จุดเริ่มต้นของเทรนด์นี้มาจากวงการความงามของเกาหลีใต้ ที่เน้นการบำรุงผิวให้ดูชุ่มชื้น เรียบเนียน สะท้อนแสงได้อย่างเป็นธรรมชาติ คล้ายผิวกระจก
Glass Skin คืออะไร แล้วต้องทำยังไงถึงจะมีผิวแบบนี้ได้
Glass Skin หมายถึงผิวที่ดูใสฉ่ำ มีความชุ่มชื้นล้ำลึก สัมผัสแล้วรู้สึกนุ่มเรียบ ไม่มีความหมองหรือผิวแห้งกร้าน และยังช่วยลดเลือนริ้วรอย จุดด่างดำ หรือรอยสิวได้อย่างเห็นผล หากอยากได้ลุค “ผิวกระจก” หมอขอสรุปลักษณะของผิว Glass Skin ไว้เป็นแนวทาง
ผิวแบบ Glass Skin มีลักษณะอย่างไร
- ผิวเรียบเนียน ไม่มีรอยสิว รอยแดง หรือรอยดำรบกวนใจ
- ผิวกระจ่างใส เปล่งประกาย ดูมีออร่าอย่างเป็นธรรมชาติ
- ผิวชุ่มชื้น อิ่มน้ำ ฉ่ำวาวเหมือนเติมน้ำให้ผิวตลอดเวลา
- รูขุมขนกระชับ ผิวละเอียด ละมุน
- สีผิวเรียบเนียน สม่ำเสมอ ดูไบร์ทอย่างเป็นธรรมชาติ
- ผิวนุ่ม ยืดหยุ่นดี ดูมีชีวิตชีวา
- ปราศจากริ้วรอย ให้ลุคที่ดูอ่อนกว่าวัย
- ผิวโดยรวมดูสุขภาพดี เปล่งปลั่ง สดใสในทุกมุมมอง
ผิวกระจกแบบ Glass Skin ไม่ได้หมายความว่าจะต้องเป็นผิวที่ขาวใสอย่างเดียว แต่เน้นที่คุณภาพผิว ความเรียบเนียน และมีความชุ่มชื้นอยู่เสมอ ซึ่งสามารถทำได้ผ่านการดูแลผิวอย่างเหมาะสม และการใช้ผลิตภัณฑ์หรือหัตถการที่ให้ผลลัพธ์ดีสำหรับผิวของแต่ละคน
ทำไม Glass Skin ถึงได้รับความนิยม
หนึ่งในเหตุผลที่เทรนด์ Glass Skin หรือ “ผิวกระจก” ได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่องจนถึงปี 2025 คือเพราะลักษณะของผิวที่ดูใส ฉ่ำวาว มีความเรียบเนียนและสุขภาพดีแบบไม่ต้องพึ่งรองพื้นหนาๆ ถือเป็นความงามในแบบธรรมชาติที่หลายคนปรารถนา
ยิ่งไปกว่านั้น วงการความงามจากประเทศเกาหลีใต้มีบทบาทสำคัญในการผลักดันเทรนด์นี้ ไม่ว่าจะเป็นดารา นักแสดง หรืออินฟลูเอนเซอร์ที่มักมีผิวกระจกฉ่ำวาว กลายเป็นแรงบันดาลใจให้หลายคนหันมาดูแลผิวอย่างจริงจังมากขึ้น
เทรนด์ “งานผิว” อื่นๆ ที่กำลังมาแรงไม่แพ้ Glass Skin
นอกจาก Glass Skin แล้ว ยังมีเทรนด์ผิวอีกหลายแบบที่ได้รับความสนใจ เพราะล้วนเน้นความเป็นธรรมชาติ และการดูแลผิวให้ดูดีจากภายใน เช่น
- Dewy Skin ผิวฉ่ำวาวแบบพอดีๆ ให้ความรู้สึกสดชื่นเหมือนเพิ่งทาครีมบำรุง แต่ไม่เน้นความเรียบเนียนเท่า Glass Skin
- Healthy Glow ผิวที่เปล่งปลั่งจากการดูแลสุขภาพผิวอย่างต่อเนื่อง สีผิวดูสม่ำเสมอและสดใส
- Makeup No-Makeup Look แต่งหน้าบางเบาให้ผิวดูเป็นธรรมชาติ ปกปิดเฉพาะจุด
- Flawless Skin ผิวที่ดูเนียนไร้จุดบกพร่อง เป้าหมายคือความสมบูรณ์แบบ
- Blushed Skin ผิวที่ดูมีเลือดฝาดจากการลงบลัชออนอย่างเป็นธรรมชาติ สีที่นิยมจะเป็นชมพูอ่อน พีช หรือส้มอ่อน
เทรนด์เหล่านี้ชี้ให้เห็นว่า “งานผิว” ในยุคนี้ไม่ได้มาจากการแต่งหน้าหนาๆ แต่เกิดจากการบำรุงและใส่ใจสุขภาพผิวอย่างแท้จริง
Glass Skin กับ หน้ามัน ต่างกันอย่างไร
หลายคนอาจสับสนว่า Glass Skin คือผิวมันหรือไม่ คำตอบคือ ไม่ใช่ เพราะแม้ว่าผิวกระจกจะมีความเงา ฉ่ำวาว แต่เป็นความเงาที่เกิดจาก “ความชุ่มชื้น” ไม่ใช่น้ำมันส่วนเกิน ในขณะที่ผิวมัน เกิดจากการที่ต่อมไขมันผลิตน้ำมันออกมามากเกินไป ทำให้ผิวดูมันเยิ้ม โดยเฉพาะบริเวณทีโซน และอาจก่อให้เกิดปัญหาอื่นตามมา เช่น สิวหรือรูขุมขนอุดตัน แต่ Glass Skin จะดูใส ฉ่ำวาวอย่างพอดี ผิวละเอียดเรียบเนียน รูขุมขนกระชับ และไม่มันวาวจนเกินไป เพราะเกิดจากการเติม “น้ำ” ให้ผิว ไม่ใช่ “น้ำมัน”
การมีผิวแบบ Glass Skin ดีแค่ภายนอก หรือสะท้อนสุขภาพภายในด้วย
ผิวที่ดูใสเนียนฉ่ำน้ำแบบ Glass Skin ไม่ได้หมายถึงเพียงแค่ภาพลักษณ์ภายนอกที่ดูดีเท่านั้น แต่อีกนัยหนึ่งยังเป็นเครื่องสะท้อนถึงสุขภาพผิวที่แข็งแรงจากภายใน เพราะการมีผิวในลักษณะนี้จำเป็นต้องผ่านการดูแลอย่างลึกซึ้งทั้งด้านการเติมความชุ่มชื้น การฟื้นฟูโครงสร้างผิว รวมถึงการปรับสมดุลในร่างกาย ซึ่งล้วนมีผลต่อคุณภาพผิวโดยตรง
หากอยากมี Glass Skin โดยไม่พึ่งหัตถการ ทำได้หรือไม่
สามารถทำได้ หากใส่ใจดูแลผิวเป็นประจำด้วยวิธีที่เหมาะสม โดยหลักการสำคัญ
- ล้างหน้าอย่างอ่อนโยนและเป็นประจำ ควรทำความสะอาดผิวหน้าอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง เลือกผลิตภัณฑ์ที่ไม่ทำให้ผิวแห้งตึงหรือระคายเคือง เช่น คลีนซิ่งสูตรน้ำหรือบาล์มที่อ่อนโยน โดยหลีกเลี่ยงการขัดถูแรงๆ ซึ่งอาจทำลายเกราะป้องกันผิวได้
- ผลัดเซลล์ผิวอย่างเหมาะสม การขจัดเซลล์ผิวเก่าที่สะสมอยู่จะช่วยให้ผิวดูเรียบเนียนและกระจ่างขึ้น อาจใช้กรดผลไม้ (AHA) หรือกรดซาลิไซลิก (BHA) แต่ไม่ควรใช้ถี่เกินไป (แนะนำ 1-2 ครั้งต่อสัปดาห์)
- เติมความชุ่มชื้นอย่างสม่ำเสมอ การทามอยส์เจอไรเซอร์อย่างต่อเนื่อง จะช่วยให้ผิวคงสมดุลน้ำและลดการสูญเสียความชุ่มชื้น โดยเฉพาะสูตรที่มีส่วนผสมของไฮยาลูโรนิกแอซิด หรือกลีเซอรีน จะช่วยให้ผิวดูฉ่ำวาวอย่างเป็นธรรมชาติ
- ป้องกันแสงแดดอย่างเคร่งครัด รังสียูวีเป็นตัวการหลักที่ทำลายคอลลาเจนและเร่งการเกิดริ้วรอย ควรเลือกครีมกันแดดที่มี SPF 30 ขึ้นไป และ PA+++ เป็นอย่างน้อย รวมถึงทาซ้ำระหว่างวันหากต้องเผชิญแสงแดดนาน
- ใส่ใจดูแลจากภายใน นอกจากการทาครีมแล้ว การดื่มน้ำอย่างเพียงพอ รับประทานอาหารที่มีวิตามินซี วิตามินอี และโอเมก้า 3 จะช่วยเสริมโครงสร้างผิวจากภายใน รวมถึงการพักผ่อนให้เพียงพอและลดความเครียดก็มีบทบาทไม่น้อยเช่นกัน
การดูแลผิวให้สวยใสแบบธรรมชาติไม่ใช่เรื่องที่เห็นผลชั่วข้ามคืน แต่หากคุณมีวินัยในการดูแลอย่างต่อเนื่อง ผิวจะค่อยๆ แข็งแรงขึ้น เงางามอย่างเป็นธรรมชาติ และลดการพึ่งพาเมคอัพลงได้อย่างมั่นใจ
หัตถการช่วยสร้าง Glass Skin ผิวกระจก ฉบับอัปเดต 2025 โดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
ในปี 2025 นี้ เทรนด์ผิวสุขภาพดีแบบ Glass Skin หรือที่หลายคนเรียกว่า “ผิวกระจก” ยังคงได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง โดยลักษณะของผิวที่หลายคนต้องการคือผิวที่เรียบเนียน ชุ่มชื้น เปล่งปลั่ง และดูสุขภาพดีจากภายใน ปัจจุบันมีหัตถการทางการแพทย์ที่ช่วยเสริมสร้างผิวในลักษณะนี้อย่างปลอดภัยและได้ผลชัดเจน ซึ่งหมอขอแนะนำหัตถการที่ได้รับความนิยมและมีประสิทธิภาพ
- Filler Skin Booster (ฟิลเลอร์สกินบูสเตอร์) เป็นการฉีดสารเติมเต็มประเภท Hyaluronic Acid โมเลกุลขนาดเล็กลงไปในชั้นผิว เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้น ลดเลือนริ้วรอย และช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวแห้ง ขาดความยืดหยุ่น หรือเริ่มมีริ้วรอยตื้นๆ หนึ่งในผลิตภัณฑ์ที่กำลังได้รับความนิยมคือ SKINVIVE by Juvéderm ซึ่งเป็นนวัตกรรมใหม่ที่ให้ผลลัพธ์ผิวฉ่ำวาวแบบธรรมชาติ ผลลัพธ์ เริ่มเห็นผลหลังฉีด 3-7 วัน และเห็นผลชัดเจนใน 2 สัปดาห์ อยู่ได้นาน 6-12 เดือน
- Sculptra (สคลูพตร้า) เป็นสารกระตุ้นคอลลาเจนที่ประกอบด้วย Poly-L-Lactic Acid (PLLA) ช่วยฟื้นฟูคุณภาพผิวโดยการกระตุ้นให้ผิวสร้างคอลลาเจนขึ้นเองตามธรรมชาติ ผิวจึงค่อยๆ เต่งตึง เรียบเนียน และดูสุขภาพดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ผลลัพธ์ เริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงภายใน 2-3 สัปดาห์ และเห็นผลชัดใน 2-3 เดือน ผลลัพธ์อยู่ได้นานประมาณ 2 ปี ขึ้นอยู่กับการดูแลหลังทำ
- Radiesse (ราดีเอส) เป็นสารกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนอีกชนิดหนึ่งที่มีส่วนประกอบของ Calcium Hydroxylapatite (CaHA) ใช้ฉีดเพื่อยกกระชับผิวหน้า ลดริ้วรอย และฟื้นฟูผิวให้แน่นกระชับมากยิ่งขึ้น ผลลัพธ์ ผิวจะเริ่มดูกระชับขึ้นในระดับหนึ่งหลังฉีด และผลลัพธ์จะชัดเจนขึ้นใน 3-6 เดือน อยู่ได้นานถึง 24 เดือน
- Gouri (โกรี่) Gouri คือนวัตกรรมใหม่ที่นำสาร PCL หรือ Polycaprolactone ในรูปแบบเหลวมาใช้สำหรับกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนทั่วใบหน้า โดยไม่เน้นการเติมเต็ม แต่เน้นให้ผิวฟู อิ่มน้ำ และเรียบเนียนจากภายใน ผลลัพธ์ เห็นผลใน 1-2 สัปดาห์ และอยู่ได้นานประมาณ 6-12 เดือน
- Exosome (เอ็กโซโซม) Exosome คืออนุภาคนาโนที่อุดมไปด้วยสารชีวโมเลกุลมากกว่า 1,000 ชนิด ช่วยกระตุ้นและฟื้นฟูการทำงานของเซลล์ผิวจากระดับเซลล์ เหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวอ่อนแอ มีริ้วรอย รูขุมขนกว้าง หรือมีปัญหารอยสิว ผลลัพธ์ สังเกตความเปลี่ยนแปลงได้ภายใน 3-7 วัน หากทำอย่างต่อเนื่อง 4-5 ครั้ง จะช่วยให้ผลลัพธ์อยู่ได้นานถึง 1 ปี
- Rejuran (รีจูรัน) Rejuran เป็นสารสกัดจาก DNA ของปลาแซลมอนบริสุทธิ์ในกลุ่ม Polynucleotide (PN) ซึ่งมีคุณสมบัติในการฟื้นฟูผิวที่อ่อนแอ เสริมสร้างการผลิตคอลลาเจน และเพิ่มความแข็งแรงให้เซลล์ผิว ผลลัพธ์ ผิวนุ่ม เรียบเนียนขึ้นภายใน 3-5 วัน และเห็นผลชัดเจนใน 4 สัปดาห์ โดยผลลัพธ์จะอยู่ได้ประมาณ 3-6 เดือน
หัตถการทางเลือกอื่นๆ ที่น่าสนใจนั้นยังมี Biostimulator อื่นๆ ที่ได้รับความนิยม เช่น
- Juvelook เน้นเติมเต็มผิวอย่างอ่อนโยน
- Neauvia ผิวอิ่มน้ำพร้อมกระตุ้นคอลลาเจน
- Ultracol 200 เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการฟื้นฟูโครงสร้างผิวอย่างเป็นธรรมชาติ
ทุกหัตถการควรได้รับการวินิจฉัยและประเมินโดยแพทย์ก่อนเสมอ เพื่อเลือกแนวทางที่เหมาะสมกับสภาพผิวแต่ละบุคคล
ดูแลตัวเองอย่างไรให้ได้ผิว Glass Skin ยาวนาน
- ล้างหน้าอย่างอ่อนโยน ด้วยผลิตภัณฑ์ที่เหมาะกับสภาพผิว
- ใช้สกินแคร์ที่เน้นเพิ่มความชุ่มชื้น เช่น Hyaluronic Acid Niacinamide Vitamin C
- ทาครีมกันแดดทุกวัน แม้ในวันที่ไม่มีแดด เพื่อปกป้องผิวจากรังสี UVA/UVB
- ดื่มน้ำวันละ 1.5-2 ลิตร และนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ
- เลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เน้นผัก ผลไม้ และไขมันดี
ถ้าคุณอยากมีผิวหน้าเรียบเนียน ดูกระจ่างใส ฉ่ำน้ำแบบสุขภาพดี แต่ไม่รู้จะเริ่มดูแลจากจุดไหน แนะนำให้ปรึกษาแพทย์ที่ De Queens Clinic ก่อน เพราะผิวของแต่ละคนมีปัญหาที่ต่างกัน เช่น ผิวแห้ง ขาดน้ำ รูขุมขนกว้าง หรือผิวหมองคล้ำ แพทย์จะประเมินอย่างละเอียดและออกแบบการรักษาให้เหมาะกับผิวของคุณโดยเฉพาะ
ที่ De Queens Clinic เราใช้ตัวยาแท้เข้มข้น ไม่ผสมน้ำเกลือ ไม่เจือจาง ผ่านการรับรองจาก อย. ไม่มีสเตียรอยด์ ไม่มีตัวยาสลายฟิลเลอร์ที่อาจทำลายคอลลาเจนในผิว จึงมั่นใจได้ในความปลอดภัย ให้ผลลัพธ์ที่ดี บวมน้อย แสบน้อย และให้ผิวดูชุ่มชื้น ฉ่ำวาวแบบเป็นธรรมชาติ
ถ้าคุณอยากมีผิวสวยแบบ Glass Skin ที่ไม่ใช่แค่การแต่งหน้า แต่เป็นผิวจริงๆ ที่ดูสุขภาพดีจากภายใน มาปรึกษาแพทย์ที่ De Queens Clinic ได้เลย เราพร้อมดูแลด้วยหัตถการที่ปลอดภัย ได้ผลลัพธ์ที่เหมาะกับคุณ พร้อมให้บริการทั้ง 2 สาขา พร้อมให้คำแนะนำโดยทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ติดต่อสอบถามหรือจองคิวปรึกษาได้ที่ Line: @dequeensclinic